ประวัติ เควิน เดอ บรอยน์ เพลย์เมกเกอร์ ดีที่สุดในโลก
ประวัติ เควิน เดอ บรอยน์

ข้อมูลส่วนตัว เควิน เดอ บรอยน์
ชื่อเต็ม : เควิน เดอ บรอยน์ (Kevin de Bruyne)
วันเกิด : 28 มิถุนายน 1991
สถานที่เกิด : ดรอนเก้น
ประเทศ เบลเยียม
อายุ : 32 ปี
ส่วนสูง : 181 เซนติเมตร
ตำแหน่ง : กองกลางตัวรุก
เควิน เดอ บรอยน์ ในปัจจุบันนี้ถูกยกย่องให้เป็น เพลย์เมกเกอร์ ที่ดีที่สุดในโลก ถูกยอมรับว่านี่แหละคือราชาแอสซิสต์แห่งโลกลูกหนังฟุตบอล ด้วยแท้ ด้วยวัย 31 ปีที่ยังมีความฟิตเต็มร้อยทักษะที่เหนือชั้นความสามารถที่ล้นเหลือ พาแมนซิตี้กว่าแชมป์มานักต่อนักในฤดูกาลล่าสุดสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่แห่งพรีเมียร์ลีกอังกฤษขึ้นมาโดยการคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ ทุกครั้งที่เท้าสัมผัสบอลมีเปอร์เซ็นต์เกือบร้อยที่จะมีการสร้างโอกาสให้เพื่อนจบสกอร์ได้และแน่นอนความสำเร็จเกิดขึ้นจากเขาเกิดขึ้น วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับ เดอ บรอยน์ ตำนาน PeaceMaker คนปัจจุบัน
ชีวิตส่วนตัวของ เควิน เดอ บรอยน์

แม่ของ เดอ บรอยน์ เป็นชาวเบลเยี่ยม เกิดใน บุรุนดี ที่มีชื่ออย่างเป็นทางการว่าสาธารณรัฐบุรุนดี เป็นประเทศที่อยู่ติดกับหุบเขารายล้อมอยู่ห่างไกลจากทะเล แต่เขาเกิดที่ ดรอนเกน เป็นเขตเทศบาลย่อยของเมืองเกนต์ในฟลานเดอร์สซึ่งเป็นส่วนที่พูดภาษาดัตช์ของเบลเยียม นอกจากภาษาดัตช์ที่เป็นภาษาแม่ของเขาแล้ว De Bruyne ยังพูดภาษาฝรั่งเศส อังกฤษ และเยอรมัน อีกด้วย ตั้งแต่ปี 2014 เดอ บรอยน์มีความสัมพันธ์กับ มิเชล ลาครัวซ์ ทั้งคู่แต่งงานกันในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2560 และมีลูกด้วยกัน 3 คน อัตชีวประวัติของเขาชื่อ Keep It Simple จัดพิมพ์โดย Borgerhoff & Lamberigts ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2014 หลังจากเหตุการณ์ระหว่างเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด เดอ บรอยน์ และ เพื่อนร่วมชาติ ธิโบต์ กูร์กตัวส์ ดีกรีระดับผู้รักษาประตูอันดับต้นๆของโลกฟุตบอล ซึ่งแฟนสาวของ De Bruyne ได้ทิ้งเขาไปเพื่อไปคบยกับ กูร์กตัวส์ เขาได้เขียนไว้ในอัตชีวประวัติของเขาว่า “ถึงแม้ผมยังไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่กูร์กตัวส์ทำ แต่เรายังคงทำงานร่วมกันอย่างมืออาชีพ” เดอ บรอยน์เป็นทูตของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกพิเศษ ปี 2014 ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองแอนต์เวิร์ป และ มีส่วนร่วมในแคมเปญโฆษณาที่ต่อต้านความขัดแย้ง ผ่านทางบัญชีอินสตาแกรม ส่วนตัวของเขา ใช้สโลแกน (ในภาษาดัตช์ ) : “คุณจะยัง เป็นแฟนของฉันไหมถ้าฉันหน้าตาแบบนี้?” เดอ บรอยน์ถูกนิยามให้ดูเหมือนคนที่เป็นดาวน์ซินโดรม
จุดเริ่มต้นของ เควิน เดอ บรอยน์ กับเส้นทางลูกหนังที่ยิ่งใหญ่

เดอ บรอยน์ เริ่มต้นอาชีพของเขาที่ เกงค์ โดยเขาเป็นผู้เล่นคนสคัญที่พาทีมคว้าแชมป์เบลเยียมโปรลีก ฤดูกาล 2010–11 ในปี 2012 ต่อมาเขาได้เข้าร่วมสโมสรเชลซี ในอังกฤษ ซึ่งเขาไม่ได้ถูกใช้งานมากนัก จากนั้นจึงถูก แวร์เดอร์ เบรเมน ยืมตัวไป ก่อที่ โวล์ฟสบวร์ก จะขอซื้อเขาด้วยค่าตัว 18 ล้านปอนด์ในปี 2014 ซึ่งเขาได้สร้างชื่อเสียงให้ตัวเองเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ดีที่สุดในบุนเดสลีกา และมีส่วนสำคัญใน การคว้าแชมป์เดเอฟเบโพคาล ฤดูกาล 2014–15ของสโมสร ในซัมเมอร์ปี 2015 เดอ บรอยน์ย้ายมาร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ด้วยค่าตัวสถิติสโมสร 55 ล้านปอนด์ ตั้งแต่นั้นมาเขาคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก , พรีเมียร์ลีก 5 สมัย, ลีกคัพ 5 สมัย และเอฟเอ คัพ 2 สมัยกับสโมสร

เขามีบทบาทสำคัญในสถิติของแมนเชสเตอร์ซิตี้ในการเป็นทีมเดียวในพรีเมียร์ลีกที่ได้ 100 แต้มในหนึ่งฤดูกาล ในปี 2019–20 เขาทำสถิติแอสซิสต์มากที่สุดในหนึ่งฤดูกาลในพรีเมียร์ลีก และได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล (ซึ่งเขาชนะอีกครั้งใน2021–22 ) เขามีส่วนร่วมอย่างหนักอีกครั้งใน2022–23 ขณะที่ เรือใบสีฟ้า สามารถคว้าทริปเปิลแชมป์ ครั้งแรกได้สเร็จ เดอ บรอยน์เปิดตัวในระดับนานาชาติเต็มรูปแบบในปี 2010 และตั้งแต่นั้นมาเขาก็ติดทีมชาติไปแล้วกว่า 90 นัดและยิงไป 26 ประตูให้เบลเยียม
การเดินทางเข้าสู่เวทีพรีเมียร์ลีกของ เควิน เดอ บรอยน์

เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ค.ศ. 2015 แมนเชสเตอร์ซิตี้ได้ประกาศการมาถึงของเดอ บรอยน์ด้วยสัญญา 6 ปี ด้วยค่าตัวสถิติสโมสรที่ 55 ล้านปอนด์ (75 ล้านยูโร) ทำให้เขาเป็นการย้ายทีมที่แพงที่สุดเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษรองจาก อังเคล ดิ มาเรีย ย้ายไปแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในปี 2014 เขาเปิดตัวให้กับทีมในพรีเมียร์ลีกเมื่อวันที่ 12 กันยายนกับ คริสตัล พาเลซ แทนที่ เซอร์จิโอ อเกวโร ที่ได้รับบาดเจ็บ ในนาทีที่ 25′ เมื่อวันที่ 19กันยายน เขายิงประตูแรกให้สโมสรนัดที่เจอกับ เวสต์แฮมยูไนเต็ดในช่วงทดเวลาบาดเจ็บครึ่งแรก แต่ก็แพ้อย่างน่าเสียดาย

เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม เดอ บรอยน์ได้รับการประกาศให้เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่มีชื่อเข้าชิง รางวัล FIFA Ballon d’Or อันทรงเกียรติ ร่วมกับเพื่อนร่วมทีมอย่าง อเกวโร และ ยาย่า ตูเร่ เพียง 18 วันต่อมา ในวันที่ 20 ตุลาคม ฟีฟ่า ก็เปิดเผยเขาว่าเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่อยู่ในรายชื่อ 23 คนสำหรับ บัลลงดอร์ เมื่อวันที่ 27 มกราคม ค.ศ. 2016 เขาทำประตูในเกมลีกคัพรอบรองชนะเลิศที่มีชัยชนะเหนือ เอฟเวอร์ตัน 3–1 แต่ได้รับบาดเจ็บที่เข่าขวาจนทำให้เขาต้องพักรักษาตัวเป็นเวลาสองเดือน ในฤดูกาล 2016–17 ได้รับเลือกให้เป็นแมนออฟเดอะแมตช์

ฤดูกาล 2017–18 ได้รับเลือกให้อยู่ในทีม PFA แห่งปีและยังได้รับการโหวตให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ฤดูกาล 2018–19 เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2561 เดอ บรอยน์ได้รับบาดเจ็บที่เข่าระหว่างการฝึกซ้อม โดยมีเว็บไซต์ข่าวหลายแห่งรายงานว่าเขาอาจไม่สามารถเล่นได้นานถึงสามเดือน สองวันต่อมา แมนเชสเตอร์ซิตี้ยืนยันว่าเขาได้รับบาดเจ็บที่เอ็นด้านข้างที่เข่าขวาของเขา โดยไม่จำเป็นต้องผ่าตัด เป็นหนึ่งในฤดูกาลที่เขาต้องเผชิญกับอาการบาดเจ็บอยู่บ่อยครั้ง ในฤดูกาล 2019–20 ได้รับการเสนอชื่อให้อยู่ในทีมแห่งปีของ PFAและได้รับ รางวัล นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของ PFA กลายเป็นผู้เล่นแมนเชสเตอร์ซิตี้คนแรกที่ได้รับรางวัล ต่อมาฤดูกาล 2020–21 เดอ บรอยน์ต้องทนทุกข์ทรมานกระดูกจมูกเฉียบพลันและ วง โคจรด้านซ้ายหัก(เบ้าตา) ทำให้เกิดข้อสงสัยในการเข้าร่วมการแข่งขันยูโร 2020 ที่มีกำหนดตารางใหม่ ฤดูกาล 2021–22 ได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของแมนเชสเตอร์ซิตี้เป็นครั้งที่สี่ เป็นผลให้เขาเสมอกับ Richard Dunne สำหรับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของสโมสร นอกจากนี้เขายังจบฤดูกาลด้วยการเป็นผู้ทำประตูสูงสุดของสโมสรในพรีเมียร์ลีกด้วยการยิง 15 ประตู ซึ่งถือเป็นสถิติส่วนตัวที่ดีที่สุดของเขาด้วย ฤดูกาล 2022–23 เป็นฤดูกาลที่สุดจะยิ่งใหญ่ของพวกเขาเมื่อ คว้าทริปเปิ้ลแชมป์ ได้สำเร็จและเป็นทีมที่โคตรจะแข็งแกร่งที่ทำให้คู่ต่อสู้ต้องพ่ายแพ้ หลังจบฤดูกาล เดอ บรอยน์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของยูฟ่าร่วมกับ ลิโอเนล เมสซี และ เพื่อนร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เออร์ลิง ฮาแลนด์
ผลงานกับทีมชาติของ เควิน เดอ บรอยน์

ฟุตบอลโลก 2018 เดอ บรอยน์ได้รับเลือกให้เป็น 23 คนสุดท้ายของเบลเยียมในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 เมื่อวันที่ 18มิถุนายน ในเกมเปิดสนามกับทีมที่เพิ่งเปิดตัวอย่างปานามาเดอ บรอยน์ทำแอสซิสต์ให้โรเมลู ลูกากูในท้ายที่สุดก็ชนะ 3–0 เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม เขายิงประตูที่สองของการแข่งขันในชัยชนะ 2–1 รอบก่อนรองชนะเลิศเหนือ บราซิล และ ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นแมนออฟเดอะแมตช์ ถัดมาในศึก ยูโร 2020 และ ฟุตบอลโลก 2022 เขาทำประตูแรก และ เป็นประตูชัยในนัดที่สองของเบลเยียมในศึกยูโร 2020โดยเอาชนะ เดนมาร์ก 2–1 แต่ก็ต้องได้รับอาการบาดเจ็บจากนัดที่แล้วที่ส่งผล ที่ข้อเท้าจากการสกัดกั้นจากด้านหลังโดย เจา ปาลฮิญา ของโปรตุเกส แม้เขาจะออกสตาร์ทเป็นตัวจริงทั้ง 3 นัดแต่ก็เป็นเรื่องที่น่าเศร้าเมื่อพวกเขาตกรอบแบ่งกลุ่ม 2022–ปัจจุบัน เขารับตำแหน่งกัปตันทีมชาติเต็มตัว เมื่อวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2566 เดอ บรอยน์ได้รับการประกาศให้เป็นกัปตันทีมคน ใหม่ของเบลเยียม หลังจากที่เอเด็น อาซาร์ อำลาทีมชาติ หนึ่งสัปดาห์ต่อมา เขานำเบลเยียมเอาชนะเยอรมนีในนัดกระชับมิตรเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2497 โดยทำประตูและทำสองแอสซิสต์ในเกมเยือนชนะ 3–2
อ่านข้อมูลเพิ่มเติม :: ประวัตินักฟุตบอล
ติดตามประวัตินักบอลเพิ่มเติมได้ที่ :: ประวัติ เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์